Sunday, February 23, 2014

เมียฝรั่ง ตอนที่ 5 ดราม่าของวีซ่าคู่หมั้น (K-1 Visa)

ข่าวดีค่ะ  ประกาศจากรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา การแต่งงานเพศเดียวกันสามารถได้รับสิทธิประโยชน์เฉกเช่นคู่แต่งงานต่างเพศได้แล้วค่ะ และหนึ่งในสิทธิประโยชน์ที่สำคัญก็คือ การแต่งงานกับเพศเดียวกันสามารถยื่นขอใบเขียวให้คู่สมรส รวมถึงการยื่นขอและรับรองวีซ่าคู่หมั้น K-1 visa ได้แล้ว อันนี้ต้องขอขอบคุณรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นรัฐแรกที่มีการอนุญาติให้แต่งงานกับเพศเดียวกันได้


หลายคนยังเข้าใจผิด หรือแม้แต่เอเจนรับจัดทำเอกสารให้วีซ่าคู่หมั้นก็ยังเขียนให้คนเข้าใจผิด เห็นหลายเจ้าเลย มักจะบอกว่ารับทำวีซ่าถาวร K1-K3 visa ขอเคลียร์กันตรงนี้  K-1 และ K-3 เป็น nonimmigrant visa หรือเป็นแค่วีซ่าชั่วคราวเท่านั้น คุณมีสิทธิถูกปฏิเสธการแต่งงานหากคุณได้วีซ่าคู่หมั้น (K-1 visa) หรือ อาจจะโดนส่งกลับหากมีข้อผิดพลาดในกรณีทำใบเขียวแต่งงานแล้วคุณขอ K-3 visa คุณยังไม่ได้วีซ่าถาวรแต่อย่างใด อย่าเข้าใจผิด ได้วีซ่า K-1 ไม่ได้การันตีการแต่งงาน ในบางครั้ง มันก็อาจจะเกิดผลเลวร้ายที่สุดอย่างที่คุณคาดไม่ถึง หากท่านใดยังไม่ทราบว่าวีซ่า K ต่างๆ K-1/K-2, K-3/K-4 คืออะไรยังไง ก็เปิดอ่านได้ที่โพ้ส "เมียฝรั่ง ตอนที่ 6 วีซ่าชั่วคราวตระกูล K"

..... แต่โพ้สนี้ ขอเป็นเรื่องของ "ดราม่าของผู้ที่ขอวีซ่า K-1 visa หรือวีซ่าคู่หมั้น" นะจ้ะ บอกได้เลยว่า มีประโยชน์มากๆ เราเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนนะ ว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น อ่านไว้เป็นกรณีศึกษา หากมีคนรู้จัก หรือลูกหลานที่กำลังจะแต่งงานกับฝรั่งก็จงบอกต่อ 
       กรณีแรกเนี่ยเกิดขึ้นกับคนที่รู้จัก มีคนนำเรื่องนี้มาปรึกษา สิบกว่าปีที่แล้วผู้หญิงไทยนางหนึ่งได้เดินทางเข้าอเมริกามาด้วยวีซ่าคู่หมั้น หรือ K-1 visa สตรีนางนี้พบรักกับนายทหารที่ประจำการอยู่ที่จังหวัดชลบุรี เป็นเวลานานคือพูดไทยพอได้ อะไรได้ นางเห็นแล้วว่าเมื่อออกเดทกัน ก็น่ารักดี แล้วฝ่ายชายก็อยู่ที่เมืองไทยมานานพอตัว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร วันหนึ่งฝ่ายชายโดนเรียกตัวกลับไปที่อเมริกา ชายที่รักจึงโชว์พาวด้วยการขอวีซ่าคู่หมั้นให้นาง แต่ตอนนั้นนางบอกว่า นางไม่ทราบจริงๆ ว่าขอวีซ่าตัวนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อมา หากนางไม่ได้แต่งงาน ใจนางแค่คิดว่าไปได้ต้องหวานแหว ได้แต่งแน่ ปรากฏว่า พอมาอยู่กับชายคนรักได้ซักพัก เกมเปลี่ยนทันที เมื่อมาอยู่จริงๆ สภาพแวดล้อม ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด นางเองก็บอกว่าพยายามปรับตัวให้เข้ากับเขานะ แต่จนแล้วจนรอดก็เข้ากับผู้ชายไม่ได้ ทั้งที่ตอนอยู่ที่เมืองไทยไม่เคยทะเลาะกันแบบนี้เลย จนท้ายที่สุด ฝ่ายชายเนี่ยบอกให้ผู้หญิงกลับบ้านที่เมืองไทย แบบไม่เอาแล้ว ไม่แต่งแล้ว กลับบ้านยูไปเลย ถ้าพูดตามแบบฉบับละครไทยก็อารมณ์ประมาณโดนเฉดหัวออกมาจากบ้านมันซะงั้น ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ฝ่ายชายไม่ได้ออกค่าเครื่องขากลับให้ฝ่ายหญิงเลย ตอนนั้นนางบอกว่า จะกลับยังไงเงินก็ไม่มี อายญาติพี่น้องอีก อุตส่าห์มาได้ถึงอเมริกา ....เราฟังแล้วแบบ สลดนะ สุดท้ายหญิงไทยใจเด็ดนางนี้ ตัดสินใจโดดออกไปหางานทำตามร้านอาหารไทยไม่กลับบ้าน ณ วินาทีนั้น นางบอกว่า แค่อยากหาเงินสักก้อนกลับบ้าน แต่อยู่ไปอยู่มาได้เป็นสิบปี .... นางไม่รู้เลยว่าการโดด ไม่กลับตามกำหนดจะส่งผลยังไงบ้าง เพราะเรื่องไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เมื่อ ณ ปัจจุบัน นางได้พบรักใหม่ กับผู้ชายสูงวัยชาวอเมริกันหัวสูง ที่ต้องการจะโอบอุ้มและปกป้องเธอ นางเองก็ไม่ปิดบัง เล่าเรื่องให้ฟัง และต้องการจะจดทะเบียนสมรสเพื่อให้ได้ใบเขียว แล้วนางจะได้อยู่ในอเมริกาต่ออย่างถูกกฏหมายและจะได้กลับบ้านได้ด้วย ฝรั่งคนรักคนใหม่ของนาง การศึกษาดี หน้าที่การงานดี แต่เสียอย่างเดียวไม่ฟังใคร เขายืนกรานว่าการโดดจากวีซ่าคู่หมั้นในครานั้น มันจะไม่มีผลอะไร ทนายเขาจัดการได้ ทั้งที่กฏหมายข้อบังคับ และเงื่อนไขเขาก็บอกอย่างชัดเจนว่า หากไม่แต่งงานกับคู่หมั้นภายใน 90 คุณคู่หมั้นต้องออกนอกประเทศไม่งั้นคือ ผิดกฏหมายนะ ...ด้วยความที่เป็นฝรั่ง หัวสูง มั่นใจจัดเลยคิดว่าได้ แล้วเขาก็บอกว่าทนายบอกว่าไม่มีปัญหา .... **ขอนอกประเด็นนิดส์หนึ่งนะ เอาเข้าจริงๆ เราว่าฝรั่งไม่ได้รู้เรื่องอิมมิเกรชั่นอะไรเท่าไหร่ หรือแม้แต่ทนายที่ไม่ใช่ทนายเฉพาะทางเขาก็ไม่กล้าที่จะบอก หรือให้คำปรึกษาอะไรลูกความได้ เขาต้องถามทนายเฉพาะทางอีก แล้วอีกอย่างฝรั่งหลายคนที่ไม่ชอบจะศึกษาอะไรด้วยตัวเอง เอะอะให้ทนาย ให้คนอื่นทำ เพราะตัวเองไม่อยากวุ่นวาย แต่ที่แย่คือ ด้วยความที่ว่าเราเป็นคนไทย เขาคิดว่าเราภาษาอังกฤษไม่แตกฉานเท่าเขา เก่งไม่เท่าฝรั่งแบบเขากระมัง จึงไม่ฟังคำเตือนของพี่ไทใจงามอย่างเราเลย** สุดท้ายพอทำเรื่องเอาเข้าจริงๆ ทนายก็กลับคำมาบอกว่า คุณผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายออกนอกประเทศก่อนถึงจะเริ่มเดินเรื่องทำใบเขียวให้ได้ ..... แต่เขาไม่ได้บอกว่าจะนานเท่าไหร่ถึงจะได้ .... สิ่งที่ต้องคำนึงคือ คุณไม่ได้ทำตามกฏเขาแต่แรก ที่สำคัญอยู่เกินกว่าที่วีซ่ากำหนด สำหรับการอยู่เกินกว่าวีซ่ากำหนดเนี่ยเรื่องใหญ่นะ หากอยู่เกินมากกว่าเดือนก็จะเนรเทศสักปีสองปี แต่หากนานกว่านั้น ก็อาจจะโดนเนรเทศไม่ให้เข้าอเมริกาอีก ตั้งแต่ 10 ปี ยันตลอดชีวิต คุณต้องไปแก้ตัวนี้อีก หากนางบุญมากก็อาจจะได้กลับเข้ามาในประเทศได้ภายใน 5-6 ปี ถึงนาทีนี้ก็คงจะต้องแล้วแต่บุญกรรมที่ทำกันมาหละ เพราะถ้าจะให้เล่าในกรณีศึกษาของวีซ่าคู่หมั้น กรณีที่สองคุณอาจจะพอนึกออก 
        กรณีที่สอง เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเรามากๆ ฝ่ายชายไปพบรักกับสาวเวียดนามตอนไปเที่ยว และฝ่ายชายเป็นอเมริกันซิติเซ่น เราจะเรียกฝ่ายชายว่านายเอ ก็แล้วกันนะจะได้ไม่สับสน นายเอกับสาวเวียดนามก็ไปมาหาสู่กันอยู่ครัั้งสองครั้ง นายเอก็สัญญาว่ากลับไปอเมริกาจะขอทำเรื่องวีซาให้ฝ่ายหญิงได้ไปหาตัวเองที่โน่น เพราะมาบ่อยไม่ได้ติดงาน แต่แล้วนายเอ ก็เงียบหายไปเฉยๆ ไม่ติดต่อไปเป็นปี ทีนี้ฝ่ายหญิงไม่รออีกต่อไป นางก็ได้ใช้อุบายโดยการหาหนุ่มอเมริกันซิติเซ่นคนใหม่ เพื่อที่จะได้ไปตามหารักแท้ที่อเมริกา ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เนื่องด้วยนายเอนั้นมีเพื่อนที่รู้จักกับฝ่ายหญิงอยู่ที่เวียดนาม เลยเข้าทางฝ่ายหญิงให้เพื่อนคนนั้นติดต่อผู้ชายคนใหม่มาให้ เราจะเรียกเขาว่านายบีก็แล้วกัน นายบีก็เห็นความสวยของสาวคนนี้จึงตัดสินพานางไปขอวีซ่าคู่หมั้นหรือ K-1 visa ให้นางเพราะคิดว่ารักกันจริง ...แต่พอนางได้ไปถึงอเมริกา นางก็ใช้ความฉลาดของนางทันทีโดยการทำทุกทางที่จะติดต่อนายเอ จนทำได้สำเร็จ ดราม่าของชีวิตนางและนายเอกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อนางตัดสินใจหนีจากคู่หมั้นและไปหานายเอ นายเอเองก็ไม่ปฏิเสธเพราะตอนนั้นที่ไม่ติิดต่อสาวคนรักนางนี้ไปเพราะทางบ้านต้องใช้เงินในการรักษาพ่อที่ป่วย นายเอเต็มใจที่จะให้คนรักไปอยู่ด้วย ส่วนนายบี ก็ได้แต่โกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ (แต่คิดว่าเขาคงจะแอบหัวเราะทีหลังรึเปล่าไม่แน่ใจ 555) สาวเจ้าก็ใจเด็ดนะ ทำไปได้ อยู่ไปได้ซักพักนายเอจึงตัดสินใจแต่งงาน จดทะเบียนสมรสเพื่อขอใบเขียวให้สาวคนรัก แต่ ณ เวลานั้น สาวเจ้าอยู่เลยกำหนดที่ต้องกลับแล้วเกือบปี ทนายก็บอกว่าทำได้ง่ายดายเลย (**ขอนอกเรื่องอีกครั้งนะ คือทนายหลายคนก็หวังแต่เงินนะ ในกรณีแบบนี้ เดี๋ยวนี้อเมริกาคือว่าทนายคนนี้หลอกลวง เราลูกความมีสิทธิฟ้องทนายคนนี้ได้ เพราะในความเป็นจริงคือทนายบอกไม่หมด คือมันทำได้แต่ฝ่ายหญิงต้องกลับไปรอที่ประเทศตัวเอง แต่ทนายไม่บอกเรื่องนี้จนลูกความยื่นเอกสาร**) แต่สุดท้ายมันทำไม่ได้ดั่งที่ทนายบอก คือฝ่ายหญิงโดนเนรเทศให้ไปรอใบเขียวอยู่ที่เวียดนาม ต้องกลับอย่างเดียวเพราะเมื่อยื่นเรื่องไปแล้วเท่ากับเป็นการแขวนชื่อตัวเองไว้ในแบล็คลิส อารมณ์ประมาณ บอกอิมมิเกรชั่นว่าฉันเนี่ยทำผิดกฏหมายวีซ่าคู่หมั้นมาแล้ว ฉันอยู่ตรงนี้ มาจับฉันสิ แบบนั้นเลย สองสามปีผ่านไป ไร้วี่แววที่นางจะได้กลับไปอเมริกา เงินค่าทนายก็ต้องเสียทุกครั้งที่มีการปรึกษาหรือต้องการให้ทนายตามเรื่องให้ แถมไม่มีคำยืนยันว่าดราม่าครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด เสียเงิน เสียทองมากมาย เสียเวลาอีก สุดท้ายนายเอก็ต้องยอมแพ้ต่อการแต่งงานครั้งนี้โดยการส่งใบหย้าไปให้ฝ่ายหญิง .... ได้ฟังอะไรแบบนี้แล้วเศร้าเนาะ นึกภาพไม่ออกเลยหากไม่เจอกับตัว นี่ยังไม่นับรวมคนที่ได้ไปเมืองนอกแบบวีซ่าคู่หมั้นแล้วต้องกลับบ้านไปแบบหัวใจสลายเพราะฝ่ายชายไม่ยอมแต่งให้อีกนะ






2 comments:

  1. เศร้าจังกับชะตากรรมของผู้หญิงไทย แต่ก็อาจจะไม่เป็นเฉพาะชาตินี้ก็ได้นะ แต่ทำไงได้ใจรักของนอกก็คงต้องทำใจไว้ก่อน

    ReplyDelete
  2. ต่างคนก็มีทางเลือกของตัวเอง แต่ทางเลือกแต่ละทางควรจะมีการเตรียมแผนสอง สาม สี่ กันเหนียวไว้ก็คงดี

    ReplyDelete

กรุณาใช้ข้อความที่เหมาะสม เพื่อความสุขสงบในอารมณ์ของผู้อ่านและแอดมินนะค่ะ