Friday, May 16, 2014

ลืมไม่ลง...กว่าที่จะได้กรีนการ์ดอเมริกา รอนานกว่า 9 ปี ตอนที่ 2

ความเดิมจากตอนที่แล้ว ...รวบยอด สรุปได้ว่ามีสต้องรอใบเขียวตั้งแต่ยังไม่จบประถมยันจบ ม.ปลาย สุดท้าย จนแล้วจนรอดยังไม่ได้วีซ่าถาวรเรียกตัวไปอเมริกาซักที จนกระทั่งได้ขอวีซ่าแบบพิเศษ ไปอเมริกา วีซ่าตัวนี้ ณ ขณะนั้นมีใช้ได้ไม่นาน เชื่อหรือไม่ มีทนายบางคน ไม่ทราบ หรือไม่แนะนำ แต่ก่อนอื่นที่พูดแบบนี้ ไม่ได้แปลว่าเราเก่งกว่าทนายนะ แต่มีสแค่ต้องการจะบอกว่า ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ก็ตามที่เกี่ยวกับกฏหมายอเมริกา จะเป็นเรื่องเซ้นซิทีฟมาก ดังนั้นคุณต้องศึกษาข้อมูลให้ดี ถามทนายหรือถามผู้รู้ อย่างน้อยสามคนขึ้นไป เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำ หากถามในเรื่องเดียวกัน สมมุติ ถามซัก 5 คน ถ้าสามหรือสี่คนบอกได้ทำได้ คุณค่อยเชื่อและศึกษาข้อมูล เพื่อใส่เกียร์เดินหน้า ....เอาหละ นอกเรื่องมามากหละ ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน

ยังไม่ได้กรีนการ์ดแล้วไปอเมริกายังไง  ...
      แม่กับพ่อ ตอนนั้นถือครองใบเขียว และขอใบเขียวให้มีสกับน้องน้องนานแล้ว จนหลายปีดีดักผ่านไป ก็จนปัญญา และแล้วฟ้าก็ทรงโปรด อเมริกาออกกฏหมายอิมมิเกรชั่นตัวใหม่ออกมาเพื่ออนุญาติให้เด็กที่พ่อแม่แอ พพลายใบเขียวให้ และรอใบเขียวนาน 3 ปีขึ้นไปได้ไปอยู่ด้วยกันไวขึ้น เรียกว่า V2 visa (สำหรับลูก) สามารถหาข้อมูลได้จาก USCIS V visa ถ้า V1 visa เป็นของคู่สมรสของใบเขียว สำหรับโพ้สนี้ จะขอเขียนเป็นเรื่องราวประสบการณ์ที่เราเจอมามากกว่า
     มีคนแนะนำให้แม่ และพ่อ ขอวีซ่า ตัวนี้ให้ลูกๆ ทั้ง 3 คน คนๆ นี้ไม่ใช่ทนายโดยตรงหรอกค่ะ แต่เป็นทะแนะ  แต่เห็นว่าทำงานกับทนายอิมมิเกรชั่นมานาน ไม่มีคำอธิบายใดๆ นอกจากทำตามที่เขาบอก พ่อกับแม่ ไม่ได้ภาษาค่ะ เพราะที่เขาทำงานอยู่ ที่ L.A ก็มีแต่เพื่อนคนไทย ดังนั้นสังคม หรือข้อมูลต่างๆ ก็จะมาจากคนไทยที่ปากต่อปากต่อกันมา แนะนำต่อกันมา สุดท้าย แม่กับพ่อยอมควักเงินจ่ายแพงมาก ๆ ซึ่งจริงๆ ค่าขอวีซ่า V2 visa จริงๆ ก็ไม่กี่ตังค์ แต่ยังไงไม่ทราบค่าขอแพงหูอื้อ  แต่แม่กับพ่อตกลงจ่ายไป เพราะกลัวมีส ซึ่งเป็นลูกคนโตจะอายุเกิน 21 ก่อน จะทำให้ขอวีซ่าตัวนี้ไม่ได้ ที่สำคัญคือ หากมีสอายุ 21 ปี กลุ่มโค้ว์ต้า หรือ preference category จะเปลี่ยนไป จะมีผลทำให้ต้องรอใบเขียวนานขึ้นไปอีก เพราะ ณ ขณะนั้น โค้วต้าของมีสและน้องๆ อยู่ที่ second preference B ค่ะ ตามข้อมูลด้านล่างเลยค่ะ 
  • First Preference(F1) : Unmarried, adult (21 years of age or older) sons and daughters of U.S. citizens -- ลำดับแรกก็คือ บุตรของ US citizen ที่ยังไม่แต่งงาน และอายุ 21 ปี หรือมากกว่า 21 ปี จะได้ใบเขียวก่อน สำหรับบุตรที่อายุต่ำว่า 21 ปี นั้นไม่ต้องรอค่ะ เพราะไม่มีโคว้ต้า ใบเขียวจะได้ทันที กรณีนี้เรียกว่า immediate relatives ของ อเมริกันซิติเซ่นค่ะ
  • Second Preference A (2A): Spouses of permanent residents and the unmarried children (under the age of 21)) of permanent residents -- คู่สมรสของผู้ที่ถือใบเขียว และบุตรที่มีอายุต่ำว่า 21 ปี (นี่คือลำดับที่มีสและน้องๆ ได้ตอนรอใบเขียวนะค่ะ)
  • Second Preference B (2ฺB): Unmarried sons and daughters (21 years or age or older) of permanent residents -- ลำดับต่อมาคือ บุตรที่ยังไม่แต่งงานแต่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป ของพ่อแม่ที่ถือครองใบเขียวหรือกรีนการ์ด
  • Third Preference (3): Married sons and daughters of U.S. citizens, their spouses and their minor children -- ลำดับที่สาม คือบุตรของอเมริกันซิติเซ่นที่แต่งงานแล้ว คู่สมรสและลูกของบุตร หรือหลาน
  • Fourth Preference (4): Brothers and sisters of adult U.S. citizens, their spouses and their minor children -- ลำดับสุดท้าย คือ พี่น้องพ่อแม่เดียวกันของอเมริกันซิติเซ่น คู่สมรสและบุตรที่อายุต่ำกว่า 21 ปี

[** ข้อมูลที่กล่าวข้างต้นนี้ อ้างอิงมาจาก เว็บไซด์ http://uscis.gov ]

ด้วยความที่กลัวว่าลูกจะไม่ได้ไปเลยยอมจ่าย ไม่ประมาณ 6 เดือน ก็มีจดหมายไปที่บ้านที่เมืองไทยให้เตรียมเอกสารไปยื่นขอ V2 visa แต่ตอนนั้นมีสยังไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย เพราะไม่เคยศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย ตอนนั้นก็ยังเด็ก ก็ต้องตามผู้ใหญ่ไว้ก่อน ตามประสาเด็กไทยบ้านนอกคนหนึ่ง พอยื่นเอกสารผ่านและเข้าสัมภาษณ์กับทางสถานฑูตอเมริกันที่เมืองไทยก็รู้ผล ภายในวันที่สัมภาษณ์เลย เราตอบรับวีซ่า ทางสถานฑูตแจ้งว่า เราต้องเดินทางออกนอกประเทศภายใน 4 เดือน ไม่งั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ไม่รับใบเขียวด้วยเช่นกัน ...เราไม่รอช้าค่ะ รีบโผบินสู่อ้อมอกของสหรัฐในแทบจะทันที

และนี่คือโฉมหน้าของ V2-visa     >>>
ไม่ แน่ใจว่าในสิบปีที่ผ่านมามันเป็นอย่างไรมีการเปลี่ยนแปลงตัวบทกฏหมายใหม่ หรือไม่ แต่อย่างไรขอให้ผู้ที่สนใจหรือเข้ามาอ่านบล็อคนี้ ให้ตรวจสอบกับทนายด้านอิมมิเกรชั่นโดยตรง แต่อย่างที่เคยบอก ให้เช็คกับทนายและผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ดูก่อน ถ้า 2 ใน 3 บอกได้ว่า แบบนั้นก็เดินหน้าได้เลยค่ะ 

** เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง มีสขอปิดบังบางส่วนนะค่ะ



ได้ V2 วีซ่าและเดินทางเข้าไปอเมริกาแล้วเป็นอย่างไรต่อไป
        * [ขอเล่าก่อนนิดสหนึ่งถึงเรื่อง กฏของการถือครองวีซ่า  V2 คือ
วีซ่า V2 หรือ V-3 จะมีสิทธิ์ใช้ได้จนถึงอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์  กล่าวคือถ้าเด็กได้ วีซ่า V ตอนอายุ 19 ปี เขาสามารถอยู่ในอเมริกาได้ จนถึงวันที่อายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ (หรือในวันเกิดที่  21 ของตน) เพราะเมื่อเด็กอายุครบ 21 ปีเมื่อใด โคว้ตารอใบเขียวจะเปลี่ยนไปอยู่ในโซน 2B ทันที ซึ่งหมายความว่า เด็กคนนั้น จะต้องใบเขียวนานกว่าเดิม
          หากอายุ 21 ปีแล้วยังเปลี่ยนสถานะไม่ได้ เด็กจะต้องออกนอกประเทศ หรือ อาจจะขออยู่ต่อด้วยการใช้วีซ่าชั่วคราวได้ แล้วแต่สถานะการณ์ในแต่ละเคส บางทีก็ขอให้อยู่ต่อได้ บางทีก็อาจจะต่อไม่ได้ เพราะเป็นแค่วีซ่าชั่วคราว ถึงจะขอผ่านจากสิทธิการรอใบเขียวก็ตาม
        ** แต่ในกรณีหากลูกที่พ่อแม่ขอใบเขียว(และยังรอเรื่องอยู่) หรือ ได้วีซ่า V-2 เคสขอใบเขียวจากพ่อแม่ รวมถึงวีซ่า V-2 วีซ่า จะถูกยกเลิกทันที ]

 เมื่อลูกๆ ที่ได้วีซ่า V-2 ไปอยู่ในอเมริกาแล้วขั้นต่อไป ก็จะต้องขอยื่นเปลี่ยนสถานะ แต่ การเปลี่ยนสถานะจะต้องเช็คโคว้ตาของเราด้วย ว่าปี้นี้สิทธิ์จะมาถึงเราหรือไม่ หากคิวเปลี่ยนสถานะเป็นวีซ่าถาวรยังไม่ถึงเรา เราก็ขอเปลี่ยนสถานะจาก V ไป เป็นใบเขียวไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยาก

เพื่อความชัวร์ ทันทีไปถึงอเมริกา พ่อก็สอบ citizen ทันที ...(เป็นวิธีที่ควรทำอย่างยิ่ง) เพื่อให้ลูกๆ ได้ first preference หรือ F1 และมันก็เป็นตามนั้น โคว้ต้าเราร่นมาไวขึ้นทำให้ immigrant visa ของเราขอเปลี่ยนสถานะได้เลย

เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ...
         พ่อได้ซิติเซ่นแล้ว ทีนี้ก็ถึงตอนที่เราจะต้องเปลี่ยนสถานะ เพราะ preference category ของเราย้ายจาก F2B มาเป็น F1 แล้ว พอเช็คสถานะวีซ่าถาวรของเราแล้ว ขั้นต่อไปคือ
ยื่นเอกสารเปลี่ยนสถานะ โดยการใช้ 2 ฟอร์มนนี้ค่ะ
1. Form I-539, Application to Change Nonimmigrant Status, and Supplement A, and
2. Form I-693, Medical Examination of Aliens Seeking Adjustment of Status.

การยื่นเอกสารนั้น ตอนมาแรกๆ ยังใช้ทแนะคนเดิมอยู่ แต่เหมือนว่านางจะไม่รู้เรื่องอะไรมากแค่คอยเอาตังค์หรืออย่างไรไม่ทราบ เรื่องโดน denied มาสองรอบ แต่ละรอบทำให้เสียเวลาหลายเดือน จนรอบที่ 3 เราจึงต้องตัดสินใจหาทนายคนใหม่ ซึ่งตอนนี้เรื่องมันซับซ้อนกว่าเดิมแล้วเพราะเราไม่จ้างเขาแต่งแรก แน่นอนว่า ค่าจ้างทนายตามเรื่องให้ มันแพงขึ้น หลังจากที่ส่ง ฟอร์มที่ถูกต้องไป ก็ได้รับการตอบรับต่อการเปลี่ยนสถานะ เพราะพ่อกลายเป็นซิติเซ่นเรียบร้อยแล้ว เลข preference เขาขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง วีซ่าพร้อมที่จะให้เราขอเปลี่ยนเป็นวีซ่าถาวรแล้ว

                 จำได้เลยว่า ถึงแม้มีสและน้องๆ จะฉีดวัคซีนมาจากเมืองไทย มีจดหมายจากหมอเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องโดนตรวจและโดนฉีดยาอยู่ดี เขาจะเช็คหมดนะค่ะ อย่างมีสเนี่ย อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ เราจะโดนถามว่ามีลูกรึยัง เช็ค กดตรงนั้นตรงนี้ ตอนแรกก็ไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่ รู้สึกอารายกันนักกันหนา แต่ต้องเข้าใจค่ะ เพราะอเมริกันเขาทำกันแบบนี้จริงๆ ตามหน้าที่ของหมอ เสร็จแล้วเราก็ยื่นส่งเอกสารเข้าไป ดูเหมือนจะจบแล้วนะค่ะ แต่ว่า...ไม่จบแค่นั้นค่ะ
                  เพราะชีวิตของแหมบอินเตอร์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ขอเล่าต่อแบบอย่างย่อ ...หลังจากที่พ่อไปสอบอเมริกันซิติเซ่นแล้ว เมื่อพ่อกลายเป็นอเมริกัน น้องๆ ของมีส ทั้งสองคนอายุต่ำกว่า 18 ปีทั้งสองคน คนกลาง 14 ปี และคนเล็ก 10 ปี ตามกฏแล้วเมื่อพ่อกลายเป็นซิติเซ่นแล้วกรอกข้อมูลลูกๆ ลงไป หากเด็กต่ำกว่า 18 ปี จะได้โอนสัญชาติเป็นอเมริกันโดยอัติโนมัติ (ใช้ได้ในสถานะภาพ ไม่ว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงหรือว่าพ่อจริงๆ ) น้องๆ ของมีสสองคนไม่ต้องรอเอกสารตอบรับ ไม่ต้องรอใบเขียว ทุกคนสถานะ confirmed และมั่นคง แต่เขาก็ยังลุ้นแค่มีส...ว่าจะได้ไม่ได้ ทนายนั้นอยู่อีกเมืองลอสแองเจลลิส ก็บินมาช่วยเหลือในยามจำเป็น จนเอกสารตอบรับมาจาก INS เรียบร้อยเหลือวันสัมภาษณ์ ที่เลขาทนายโทรมาย้ำนักย้ำหนาว่า เอกสารทุกอย่างของพ่อและแม่ต้องเป็นตัวจริง ไม่ใช่สำเนา..แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นได้เพียงเพราะความสำพร่ำของเราเอง

อีกแค่ 6 วัน จะอายุ 21 ปี... เกือบต้องโดนเนรเทศ
                   ยังจำวันนั้นได้ดี วันที่ได้เข้าสัมภาษณ์เพื่อเปลี่ยนสถานะตัวเองเป็นใบเขียว มีสก็ตื่นเต้นแต่วันนั้นแม่กลับเมืองไทย เลขาของทนายก็โทรมาบอกกับพ่อว่าเอกสารทุกอย่างต้องเป็นตัวจริง รวมถึงต้องไม่ลืมใบ American citizenship certification  พ่อจะต้องเข้าไปสัมภาษณ์ด้วยเพราะว่า พ่อคือคน applied หลัก ทนายก็บินมาจากแอลเอ เพื่อการนี้ แต่....พ่อ ลืม certificate ตัวจริง พ่อถึงกับเหวอเพราะเลขาทนายอุตส่าห์ให้คนมาย้ำแล้วย้ำอีกว่าทุกอย่างต้องเป็นตัวจริงไม่ใช่สำเนา ... ผลเลวร้ายกว่านั้นคือ เขา ปฏิเสธเคสเราทันที และเราต้องออกจากอเมริกาก่อนวันอายุครบ 21 ปี ซึ่งก็เหลืออีกไม่ถึงเดือน.....นาทีนั้น ตกใจสุดขีด แต่เมื่อปรึกษาทนายก็บอกว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะตามเรื่องให้แบบด่วนให้ ถึงตอนนี้หากใครมีประสบการณ์คำว่าเคส "ด่วน" กับทนายที่อเมริกา ท่านก็คงพอจะนึกออกว่าราคาค่าจ้างนั้นแพงกว่าปกติถึงสามเท่า (นี่ราคากันเองนะ) ทนายแก้ต่างอะไรให้เสร็จสับ จน INS นัดไปสัมภาษณ์ใหม่ และทนายก็บินไปพามีสเข้าสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง (สำเหนียกเลยว่า ใบเขียวนั้นสำคัญฉไหน) ณ ตอนนั้น เหลือแค่อีก 6 วัน เราจะอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ นั่นหมายถึงเงื่อนไขของ V2 visa จะหมดลง และเราต้องออกนอกประเทศ หรือไม่ก็ขอ extend อยู่ต่อชั่วคราว 
                    ....และแล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น เมื่อวันที่เข้าสัมภาษณ์วันนั้น เปลี่ยนชะตาชีวิตมีสเป็นการถาวร เพราะวันนั้น ...ใบเขียวอนุมัติ เราได้แล้วกรีนการ์ด stamped ตัวบะเร่อหน้าพาสปอร์ตของมีส

                   กว่าจะได้มาก็รอแสนนาน รอไม่พอ เมื่อไปถึงยังต้องเจออีกด่านมหาโหด มาถึงตรงนี้ก็ต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่เข้ามาอ่าน หวังว่าบล็อคนี้คงจะให้ความรู้และความบรรเทิงไม่มากก็น้อย และยิ่งไปกว่านั้นหากใครเจอสถานะเช่นนี้ หรือน้อยใจในการรอคอยกรีนการ์ดของอเมริกา ขอให้ทราบเอาไว้ว่า สำหรับบางคนมันก็ไม่ได้มาง่ายๆ แต่ก็ไม่ใช่คุณแค่คนเดียวที่ท้อ เหมือนอย่างมีสไง ขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่รอคอยกรีนการ์ดอเมริกาทุกคนค่ะ




No comments:

Post a Comment

กรุณาใช้ข้อความที่เหมาะสม เพื่อความสุขสงบในอารมณ์ของผู้อ่านและแอดมินนะค่ะ