วีซ่าคู่หมั้น(K-1 visa) VS. วีซ่าคู่สมรส(K-3 visa) ภาค 2


วีซ่าคู่หมั้น(K-1) vs. ใบเขียวแต่งงาน(K-3)

               วีซ่าคู่หมั้นนั้นต่างกับใบเขียวแต่งงานก็ตรงที่ K-1 วีซ่า หรือวีซ่าคู่หมั้นเป็นวีซ่าสำหรับชาวอเมริกัน หรือ อเมริกันซิติเซ่นเท่านั้น คนที่ถือใบเขียวจะไม่สามารถขอวีซ่าคู่หมั้นให้แฟนได้ วีซ่าคู่หมั้นต้องขอให้แฟนที่อยู่นอกอเมริกาเท่านั้น และคุณทั้งสองคนต้องยังไม่แต่งงานกัน สำหรับวีซ่าตัวนี้โดยส่วนตัวแล้วมันเอื้อประโยชน์ให้กับชาวอเมริกันมากกว่า เพราะว่าเหมือนกับว่าเขาให้สิทธิ์การเลือกให้กับคนอเมริกัน ที่จะไม่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนใช้ชีวิตคู่ที่ไม่แฮปปี้ กล่าวคือหากพี่มะกันขอวีซ่าให้แฟนแล้ว แฟนได้ไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจริงๆ ในอเมริกาแล้วเข้ากันไม่ได้ พี่มะกันมีสิทธิ์ไม่จดทะเบียน ไม่ยื่นขอใบเขียวแต่งงานให้คุณแฟนได้ โดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรใดๆ น่านไง ฟังดูรันทดเนาะ แต่นี่คือความจริง จำไว้ว่าหากคุณได้วีซ่าคู่หมั้น คุณต้องจดทะเบียนสมรสกันภายใน 90 วันหลังจากเข้าไปอเมริกา หรือหากจะขอเวลาเพิ่ม ในความหมายคือ ขอจดทะเบียนหลังจาก 90 วันก็ได้นะ แต่ต้องให้เหตุผลและยื่นหลักฐานไปว่าทำไมถึงจดภายใน 90 วันไม่ได้  มีอยู่หลายคู่เหมือนกันที่ประสบปัญหาเข้ากันไม่ได้ และฝ่ายคุณคู่หมั้นมะกันไม่ยอมจดทะเบียนให้ ปัญหาที่ร้อยละ 90 ที่ทำให้เข้ากันไม่ได้ก็เป็นเพราะ culture shock (คอลเจอร์ ช็อค) อันนี้นี่เรื่องใหญ่นะ ว่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล่นๆ เพราะขนาดเราเองอยู่อเมริกามาเป็น 10+ ปี ยังประสบปัญหานี้อยู่ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก โปรดจำไว้ว่า หากคุณเข้าประเทศอเมริกาด้วยวีซ่าคู่หมั้น คุณไม่สามารถแต่งงานกับอเมริกันซิติเซ่นคนอื่นได้นอกจากคู่หมั้นคนที่รับรองคุณเข้าประเทศอเมริกา และคุณไม่สามารถเปลี่ยนวีซ่าให้กับตัวเองได้เหมือนกับวีซ่าตัวอื่นๆ หากคุณต้องการจะจดทะเบียนสมรสกับอเมริกันซิติเซ่นคนอื่น คุณต้องเดินทางออกนอกประเทศอเมริกาเท่านั้นโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น

            ต่างจากวีซ่า K-3  จริงอยู่ที่ K-3 visa ก็เป็นหนึ่งใน non-immigrant visa หรือก็คือยังไม่ใช่วีซ่าถาวรตัวจริง หลังจากจดทะเบียนสมรสแล้ว และยื่นขอ petition เสร็จ หลังจากที่ petition การขอ visa K-3 approved แล้ว คู่แต่งงานนั้นต้องเดินทางไปที่อเมริกา เพื่อยื่นเรื่องเปลี่ยนสถานะ   คุณก็ต้องยื่นเรื่องขอเปลี่ยนสถานะโดยการยื่นขอใบเขียว คุณจะได้รับใบเขียวชั่วคราว (ใบเขียว 2 ปี) ภายในระยะเวลา 3-6 เดือน ระหว่างนี้ คู่สมรสไม่สารถเดินทางออกนอกประเทศได้ และจะได้เพียง work permit แล้วแต่เขตที่คุณส่งใบสมัครไปและแล้วแต่เคส บางคนยื่นไป 3 เดือนก็ได้ นี่ยังไม่จบนะค่ะ นี่ยังไม่ใช่ใบเขียวถาวรที่แท้จริง เพราะหลังจากที่คุณได้ใบเขียว 2 ปีแล้ว ก่อนวันหมดอายุของใบเขียวชั่วคราว คุณต้องยื่นเรื่องขอใบเขียวถาวรที่มีอายุ 10 ปี โดยคุณและคู่สมรสต้องลงชื่อร่วมกัน โดยเอกสารสำคัญที่อิมิเกรชั่นอเมริกันต้องการคือ หลักฐานยืนยันว่าคุณและคู่สมรสไม่ได้หย้าขาดจากกัน หากคุณหย้าร้างกับคู่สมรสชาวอเมริกันก่อนครบสองปี หรือคู่สมรสไม่ให้ความร่วมมือในการขอใบเขียวถาวร ทำใจเลยค่ะ ว่าคุณชวดใบเขียวแน่ๆ ยกเว้น ในกรณีที่คุณโดยทำร้ายร่างกายหรือทางจิตใจ หรือ ประสบปัญหาภายในครอบครัวอย่างรุนแรง ที่พิสูจน์ได้ คุณสามารถยื่นขอใบเขียว 10 ปีได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคู่สมรสของคุณ

*** คำแนะนำแบบส่วนตั้ว ส่วนตัว ***
                     จริงๆ อยากจะแนะนำให้ขอใบเขียวแต่งงานไปอเมริกาเลย เพราะมีหลายคู่เหมือนกัน ที่ขอ K-1 หรือ วีซ่าคู่หมั้นให้ สุดท้ายคุณแฟนไม่ยอมจดทะเบียนสมรสให้ ผู้หญิงก็อายไม่กล้าบอกใคร ไม่กล้ากลับบ้าน ก็ต้องยอมอยู่ที่อเมริกาต่อแบบผิดกฏหมาย บางทีสามีอู้ไม่อยากทำให้ อิดออด ก็เป็นปัญหาได้ เพราะไม่ใช่แต่เราที่คิดได้ว่า "เอ๊ะ ที่เธอแต่งงานกับฉันเพราะเธออยากได้ใบเขียวรึเปล่า" ประมาณนี้ เพราะเป็นเรา เราคิดนะบอกเลย ก็มีการกินแหนงแครงใจระหว่างกัน ซึ่งก่อปัญหาได้เหมือนกัน ทางที่ดีหลีกเลี่ยงความเสี่ยงโดยการบอกแฟนคุณให้ขอใบเขียวแต่งงานให้เลยทีเดียว วีซ่าคู่หมั้นมีข้อเสียมากกว่าใบเขียวแต่งงานมาก ถึงจะมีคนบอกว่าขอใบเขียวแต่งงานจะช้ากว่า แต่ก็คงจะช้ากว่าไม่นานนัก ยอมช้าเถอะคุณ ดีกว่าโดนปล่อยเกาะ อย่างน้อยหากภายในสองปีไปกันไม่ได้ เราก็ยังพอมีหวังมีทางขอใบเขียวถาวรทางอื่น ไม่โดนตัดสิทธิ์และจะได้ดูว่าแฟนคุณจริงจังกับคุณแค่ไหน อย่าเชื่อคำอ้างของผู้ชายที่ว่าอยากเจอเร็วๆ ไม่มีเวลาทำใบเขียวแต่งงานมันยากกว่า นั่นนี่ ใจแข็งๆ ไว้ ความยากง่ายไม่ได้ต่างกันมาก เมื่อเทียบกับวีซ๋าคู่หมั้น ถ้าหากเขาไม่แต่งด้วย เราจะเสียทั้งตัว เสียเงิน เสียเวลาอีก เจ็บหนักทีเดียวนะ 
        แต่ถ้าหากฝ่ายชายขอใบเขียวแต่งงานให้ตั้งแต่แรกในระหว่างที่รอใบเขียวอยู่ คุณก็จะสามารถขอวีซ่าชั่วคราว K-3 ให้ตัวเองได้ เพื่อเข้าไปอเมริการอใบเขียวที่สำคัญไม่ต้องมาลุ้นว่าฝ่ายชายจะแต่งไม่แต่งให้ปวดหัวอีก 

No comments:

Post a Comment

กรุณาใช้ข้อความที่เหมาะสม เพื่อความสุขสงบในอารมณ์ของผู้อ่านและแอดมินนะค่ะ